สมาธิ และวิธีแก้นิมิตพระอ.สิงห์
หลวงพ่อธรรมดา จารุวังโส
.
๛สมาธิ และวิธีแก้นิมิต ๛
๛สมาธิ และวิธีแก้นิมิต ๛
โดย...พระญาณวิศิษฎ์สมิทธิวีราจารย์
(พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม)
(พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม)
วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา
๑. นั่งสมาธิวิธี
ให้นั่งขัดสมาธิ เอาขาขวาทับขาซ้าย
เอามือขวาวางทับมือซ้าย อุชุ กายํ
ปณิธาย ตั้งกายให้ตรง คือ
ไม่ให้เอียงไปข้างซ้าย ข้างขวา
ข้างหน้า ข้างหลัง และอย่างก้มนัก
เช่นอย่างหอยนาหน้าต่ำ อย่าเงยนัก
เช่นอย่างนกกระแต้ (นกกระต้อยตีวิด)
นอนหงายถึงดูพระพุทธรูปเป็นตัวอย่าง
เอามือขวาวางทับมือซ้าย อุชุ กายํ
ปณิธาย ตั้งกายให้ตรง คือ
ไม่ให้เอียงไปข้างซ้าย ข้างขวา
ข้างหน้า ข้างหลัง และอย่างก้มนัก
เช่นอย่างหอยนาหน้าต่ำ อย่าเงยนัก
เช่นอย่างนกกระแต้ (นกกระต้อยตีวิด)
นอนหงายถึงดูพระพุทธรูปเป็นตัวอย่าง
อุชุ จิตฺตํ ปณธาย ตั้งจิตให้ตรง คือ
อย่าส่งใจไปทางตา ทางหู ทางจมูก
ทางลิ้น ทางกาย และอย่าส่งใจไป
ข้างหน้า ข้างหลัง ข้างซ้าย ข้างขวา
พึงกำหนดรวมเข้าไว้ในจิตฯ
อย่าส่งใจไปทางตา ทางหู ทางจมูก
ทางลิ้น ทางกาย และอย่าส่งใจไป
ข้างหน้า ข้างหลัง ข้างซ้าย ข้างขวา
พึงกำหนดรวมเข้าไว้ในจิตฯ
๒. วิธีสำรวมจิตในสมาธิ
มนสา สํวโร สาธุ สำรวมจิตให้ดี คือ
ให้นึกว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่ใจ
พระธรรมอยู่ที่ใจ..
พระอริยสงฆ์อยู่ที่ใจ
นึกอยู่อย่างนี้จนใจตกลงเห็นว่า
อยู่ที่ใจจริงๆ แล้วทอดธุระเครื่องกังวล
ลงได้ว่าไม่ต้องกังวลอะไรอื่นอีก
จะกำหนดเฉพาะที่ใจแห่งเดียวเท่านั้น
จึงตั้งสติกำหนดใจนั้นไว้นึกคำบริกรรม
รวมใจเข้าฯ
ให้นึกว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่ใจ
พระธรรมอยู่ที่ใจ..
พระอริยสงฆ์อยู่ที่ใจ
นึกอยู่อย่างนี้จนใจตกลงเห็นว่า
อยู่ที่ใจจริงๆ แล้วทอดธุระเครื่องกังวล
ลงได้ว่าไม่ต้องกังวลอะไรอื่นอีก
จะกำหนดเฉพาะที่ใจแห่งเดียวเท่านั้น
จึงตั้งสติกำหนดใจนั้นไว้นึกคำบริกรรม
รวมใจเข้าฯ
๓. วิธีนึกคำบริกรรม
ให้ตรวจดูจิตเสียก่อนว่า จิตคิดอยู่ใน
อารมณ์อะไร ในอารมณ์อันนั้น
เป็นอารมณ์ที่น่ารัก หรือน่าชัง
เมื่อติดใจในอารมณ์ที่น่ารัก
พึงเข้าใจว่าจิตนี้ลำเอียง ไปด้วยความรัก
อารมณ์อะไร ในอารมณ์อันนั้น
เป็นอารมณ์ที่น่ารัก หรือน่าชัง
เมื่อติดใจในอารมณ์ที่น่ารัก
พึงเข้าใจว่าจิตนี้ลำเอียง ไปด้วยความรัก
เมื่อติดในอารมณ์ที่น่าชัง
พึงเข้าใจว่าจิตนี้ลำเอียงไปด้วยความชัง
ไม่ตั้งเที่ยง พึงกำหนดส่วนทั้งสองนั้น
ให้เป็นคู่กันเข้าไว้ ที่ตรงหน้าซ้ายขวา
แล้วตั้งสติกำหนดใจ ตั้งไว้ในระหว่าง
กลาง ทำความรู้เท่าส่วนทั้งสอง
พึงเข้าใจว่าจิตนี้ลำเอียงไปด้วยความชัง
ไม่ตั้งเที่ยง พึงกำหนดส่วนทั้งสองนั้น
ให้เป็นคู่กันเข้าไว้ ที่ตรงหน้าซ้ายขวา
แล้วตั้งสติกำหนดใจ ตั้งไว้ในระหว่าง
กลาง ทำความรู้เท่าส่วนทั้งสอง
เปรียบอย่างถนนสามแยกออกจากจิต
ตรงหน้าอกระวังไม่ให้จิตแวะไปตามทาง
เส้นซ้าย เส้นขวา ให้เดินตรงตามเส้นกลาง
ตรงหน้าอกระวังไม่ให้จิตแวะไปตามทาง
เส้นซ้าย เส้นขวา ให้เดินตรงตามเส้นกลาง
แต่ระวังไม่ให้ไปข้างหน้า
ให้กำหนดเฉพาะจิตอยู่กับที่นั่นก่อน
แล้วนึกคำบริกรรม ที่เลือกไว้
จำเพาะพอเหมาะกับใจ
คำใดคำหนึ่งเป็นต้นว่า
“พุทโธ ธัมโม สังโฆ” ๓ จบ
แล้วรวมลงเอาคำเดียวว่า“พุทโธ ๆ ๆ”
เป็นอารมณ์แพ่ง จำเพาะจิต
จนกว่าจิตนั้นจะวางความรักความชัง
ได้ขาด ตั้งลงเป็นกลางจริงๆ
แล้วจึงกำหนดรวมทวนกระแสประชุมลง
ในภวังค์ตั้งสติตามกำหนดจิตในภวังค์นั้น
ให้เห็นแจ่มแจ้งไม่ให้เผลอฯ
ให้กำหนดเฉพาะจิตอยู่กับที่นั่นก่อน
แล้วนึกคำบริกรรม ที่เลือกไว้
จำเพาะพอเหมาะกับใจ
คำใดคำหนึ่งเป็นต้นว่า
“พุทโธ ธัมโม สังโฆ” ๓ จบ
แล้วรวมลงเอาคำเดียวว่า“พุทโธ ๆ ๆ”
เป็นอารมณ์แพ่ง จำเพาะจิต
จนกว่าจิตนั้นจะวางความรักความชัง
ได้ขาด ตั้งลงเป็นกลางจริงๆ
แล้วจึงกำหนดรวมทวนกระแสประชุมลง
ในภวังค์ตั้งสติตามกำหนดจิตในภวังค์นั้น
ให้เห็นแจ่มแจ้งไม่ให้เผลอฯ
๔. วิธีสังเกตจิตเข้าสู่ภวังค์
พึงสังเกตจิตใจเวลากำลังนึกคำบริกรรม
อยู่นั้น ครั้งเมื่อจิตตั้งลงเป็นกลาง
วางความรัก ความชังทั้งสองนั้นได้แล้ว
จิตย่อมเข้าสู่ภวังค์ (คือจิตเดิม)
มีอาการต่างๆ กัน บางคนรวมผับลง
บางคนรวมปึบลง บางคนรวมวับแวม
เข้าไปแล้วสว่างขึ้น ลืมคำบริกรรมไป
บางคนก็ไม่ลืม แต่รู้สึกว่าเบาในกาย
เบาในใจที่เรียกว่า กายลหุตา จิตฺตลหุตา
กายก็เบา จิตก็เบา กายมุทุตา จิตฺตมุทุตา
กายก็อ่อน จิตก็อ่อน กายปสฺสทฺธิ จิตฺต
ปสฺสทฺธิ กายก็สงบ จิตก็สงบ กายุชุกตา
จิตฺตุชุกตา กายก็ตรง จิตก็ตรง
กายกมฺมญฺญตา จิตฺตกมฺมญฺญตา
กายก็ควรแก่การทำสมาธิ
จิตก็ควรแก่การทำสมาธิ
อยู่นั้น ครั้งเมื่อจิตตั้งลงเป็นกลาง
วางความรัก ความชังทั้งสองนั้นได้แล้ว
จิตย่อมเข้าสู่ภวังค์ (คือจิตเดิม)
มีอาการต่างๆ กัน บางคนรวมผับลง
บางคนรวมปึบลง บางคนรวมวับแวม
เข้าไปแล้วสว่างขึ้น ลืมคำบริกรรมไป
บางคนก็ไม่ลืม แต่รู้สึกว่าเบาในกาย
เบาในใจที่เรียกว่า กายลหุตา จิตฺตลหุตา
กายก็เบา จิตก็เบา กายมุทุตา จิตฺตมุทุตา
กายก็อ่อน จิตก็อ่อน กายปสฺสทฺธิ จิตฺต
ปสฺสทฺธิ กายก็สงบ จิตก็สงบ กายุชุกตา
จิตฺตุชุกตา กายก็ตรง จิตก็ตรง
กายกมฺมญฺญตา จิตฺตกมฺมญฺญตา
กายก็ควรแก่การทำสมาธิ
จิตก็ควรแก่การทำสมาธิ
กายปาคุญฺญตา จิตูตปาคุญฺญตา
กายก็คล่องแคล่ว จิตก็คล่องแคล่ว
หายเหน็ดหายเหนื่อย หายเมื่อย
หายหิว หายปวดหลังปวดเอว
ก็รู้สึกว่าสบายในใจมาก
ถึงเข้าใจว่าจิตเข้าสู่ภวังค์แล้ว
ให้หยุดคำบริกรรมเสีย
และวางสัญญาภายนอกให้หมด
ค่อยๆ ตั้งสติตามกำหนดจิต
จนกว่าจิตนั้นจะหยุด
และตั้งมั่นลงเป็นหนึ่งอยู่กับที่
กายก็คล่องแคล่ว จิตก็คล่องแคล่ว
หายเหน็ดหายเหนื่อย หายเมื่อย
หายหิว หายปวดหลังปวดเอว
ก็รู้สึกว่าสบายในใจมาก
ถึงเข้าใจว่าจิตเข้าสู่ภวังค์แล้ว
ให้หยุดคำบริกรรมเสีย
และวางสัญญาภายนอกให้หมด
ค่อยๆ ตั้งสติตามกำหนดจิต
จนกว่าจิตนั้นจะหยุด
และตั้งมั่นลงเป็นหนึ่งอยู่กับที่
เมื่อจิตประชุมเป็นหนึ่ง ก็อย่าเผลอสติ
ให้พึงกำหนดอยู่อย่างนั้น
จนกว่าจะนั่งเหนื่อย นี้แล
เรียกว่าภาวนาอย่างละเอียดฯ
ให้พึงกำหนดอยู่อย่างนั้น
จนกว่าจะนั่งเหนื่อย นี้แล
เรียกว่าภาวนาอย่างละเอียดฯ
๕. วิธีออกจากสมาธิ
เมื่อจะออกจากที่นั่งสมาธิภาวนา
ในเวลาที่รู้สึกเหนื่อยแล้วนั้น
ให้พึงกำหนดจิต ไว้ให้ดี
แล้วเพ่งเล็งพิจารณาเบื้องบนเบื้องปลาย
ให้รู้แจ้งเสียก่อนว่า
ในเวลาที่รู้สึกเหนื่อยแล้วนั้น
ให้พึงกำหนดจิต ไว้ให้ดี
แล้วเพ่งเล็งพิจารณาเบื้องบนเบื้องปลาย
ให้รู้แจ้งเสียก่อนว่า
เบื้องต้นได้ตั้งสติ กำหนดจิตอย่างไร
พิจารณาอย่างไร นึกคำบริกรรมอะไร
น้ำใจจึงสงบมาตั้งอยู่อย่างนี้
พิจารณาอย่างไร นึกคำบริกรรมอะไร
น้ำใจจึงสงบมาตั้งอยู่อย่างนี้
ครั้นเมื่อใจสงบแล้วได้ตั้งสติอย่างไร
กำหนดจิตอย่างไร ใจจึงไม่ถอนจากสมาธิ
พึงทำในใจไว้ว่าออกจากที่นั่งนี้แล้ว
นอนลงก็จะกำหนดอยู่อย่างนี้จนกว่าจะ
นอนหลับ..แม้ตื่นขึ้นมาก็จะกำหนดอย่างนี้
ตลอดวันและคืน ยืน เดิน นั่ง นอน
เมื่อทำในใจเช่นนี้แล้วจึงออกจากที่นั่ง
สมาธิเช่นนั้นอีกก็ถึงทำพิธีอย่างที่ทำ
มาแล้วฯ
กำหนดจิตอย่างไร ใจจึงไม่ถอนจากสมาธิ
พึงทำในใจไว้ว่าออกจากที่นั่งนี้แล้ว
นอนลงก็จะกำหนดอยู่อย่างนี้จนกว่าจะ
นอนหลับ..แม้ตื่นขึ้นมาก็จะกำหนดอย่างนี้
ตลอดวันและคืน ยืน เดิน นั่ง นอน
เมื่อทำในใจเช่นนี้แล้วจึงออกจากที่นั่ง
สมาธิเช่นนั้นอีกก็ถึงทำพิธีอย่างที่ทำ
มาแล้วฯ
๖. มรรคสมังคี
มรรคมีองค์อวัยวะ ๘ ประการ
ประชุมลงเป็นเอกมรรค คือ ๗ เป็นอาการ
องค์ที่ ๘ เป็นหัวหน้า อธิบายว่า
ประชุมลงเป็นเอกมรรค คือ ๗ เป็นอาการ
องค์ที่ ๘ เป็นหัวหน้า อธิบายว่า
สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบก็คือ
จิตเป็นผู้เห็น
จิตเป็นผู้เห็น
สัมมาสังกับโป ความดำริชอบก็คือ
จิตเป็นผู้ดำริ
จิตเป็นผู้ดำริ
สัมมาวาจา กล่าววาจาชอบ ก็คือ
จิตเป็นผู้นึกแล้วกล่าว
จิตเป็นผู้นึกแล้วกล่าว
สัมมากัมมันโต การงานชอบ ก็คือ
จิตเป็นผู้คิดทำการงาน
จิตเป็นผู้คิดทำการงาน
สัมมาอาชีโว เลี้ยงชีวิตชอบก็คือ
จิตเป็นผู้คิดหาเลี้ยงชีวิต
จิตเป็นผู้คิดหาเลี้ยงชีวิต
สัมมาวายาโม ความเพียรชอบ ก็คือ
จิตเป็น ผู้มีเพียรมีหมั่น
จิตเป็น ผู้มีเพียรมีหมั่น
สัมมาสติ ความระลึกชอบก็คือ
จิตเป็นผู้ระลึก ทั้ง ๗ นี้แหละเป็นอาการ
ประชุมอาการทั้ง ๗ นี้ลง
เป็นองค์สัมมาสมาธิ แปลว่าตั้งจิตไว้ชอบ
ก็คือความประกอบการ กำหนดจิต
ให้เข้าสู่ภวังค์ได้แล้ว
ตั้งสติกำหนดจิตนั้นไว้เป็นเอกัคคตา
อยู่ในความเป็นหนึ่ง ไม่มีไป ไม่มีมา
ไม่มีออก ไม่มีเข้า เรียกว่า มรรคสมังคี
ประชุมมรรคทั้ง ๘ ลงเป็นหนึ่ง หรือ
เอกมรรค ก็เรียก มรรคสมังคีนี้ประชุมถึง
๔ ครั้ง จึงเรียกว่า มรรค ๔ ดังแสดงมา ฉะนี้ฯ
จิตเป็นผู้ระลึก ทั้ง ๗ นี้แหละเป็นอาการ
ประชุมอาการทั้ง ๗ นี้ลง
เป็นองค์สัมมาสมาธิ แปลว่าตั้งจิตไว้ชอบ
ก็คือความประกอบการ กำหนดจิต
ให้เข้าสู่ภวังค์ได้แล้ว
ตั้งสติกำหนดจิตนั้นไว้เป็นเอกัคคตา
อยู่ในความเป็นหนึ่ง ไม่มีไป ไม่มีมา
ไม่มีออก ไม่มีเข้า เรียกว่า มรรคสมังคี
ประชุมมรรคทั้ง ๘ ลงเป็นหนึ่ง หรือ
เอกมรรค ก็เรียก มรรคสมังคีนี้ประชุมถึง
๔ ครั้ง จึงเรียกว่า มรรค ๔ ดังแสดงมา ฉะนี้ฯ
๗ นิมิตสมาธิ
ในเวลาจิตเข้าสู่ภวังค์
และตั้งลงเป็นองค์มรรคสมังคีแล้วนั้น
ย่อมมีนิมิตต่างๆ มาปรากฏในขณะจิต
อันนั้น ท่านผู้ฝึกหัดใหม่ทั้งหลาย
พึงตั้งสติ กำหนดใจไว้ให้ดี
อย่าตกประหม่ากระดาก และอย่าทำความกลัวจนเสียสติ
และอารมณ์ ทำใจให้ฟุ้งซ่านรั้งใจไม่อยู่
จะเสียสมาธิ..
และตั้งลงเป็นองค์มรรคสมังคีแล้วนั้น
ย่อมมีนิมิตต่างๆ มาปรากฏในขณะจิต
อันนั้น ท่านผู้ฝึกหัดใหม่ทั้งหลาย
พึงตั้งสติ กำหนดใจไว้ให้ดี
อย่าตกประหม่ากระดาก และอย่าทำความกลัวจนเสียสติ
และอารมณ์ ทำใจให้ฟุ้งซ่านรั้งใจไม่อยู่
จะเสียสมาธิ..
นิมิตทั้งหลายไม่ใช่เป็นของเที่ยง
เพียงสักว่าเป็นเงาๆพอให้เห็นปรากฏ
แล้วก็หายไปเท่านั้นเองฯ
เพียงสักว่าเป็นเงาๆพอให้เห็นปรากฏ
แล้วก็หายไปเท่านั้นเองฯ
นิมิตที่ปรากฏนั้น คือ
อุคคหนิมิต ๑
ปฏิภาคนิมิต ๑
อุคคหนิมิต ๑
ปฏิภาคนิมิต ๑
นิมิตที่ปรากฏเห็นดวงหทัยของตนใสสว่าง
เหมือนกับดวงแก้ว แล้วยึดหน่วง เหนี่ยวรั้ง
ให้ตั้งสติกำหนดจิตไว้ให้ดี
เรียกว่า อุคคหนิมิต ไม่เป็นของน่ากลัวฯ
เหมือนกับดวงแก้ว แล้วยึดหน่วง เหนี่ยวรั้ง
ให้ตั้งสติกำหนดจิตไว้ให้ดี
เรียกว่า อุคคหนิมิต ไม่เป็นของน่ากลัวฯ
นิมิตที่ปรากฏเห็นคนตาย สัตว์ตาย
ผู้ไม่มีสติย่อมกลัว แต่ผู้มีสติแล้ว
ย่อมไม่กลัวยิ่งเป็นอุบายให้พิจารณา
เห็นเป็นอสุภะ
ผู้ไม่มีสติย่อมกลัว แต่ผู้มีสติแล้ว
ย่อมไม่กลัวยิ่งเป็นอุบายให้พิจารณา
เห็นเป็นอสุภะ
แยกส่วน แบ่งส่วนของกายนั้นออกดูได้ดี
ทีเดียวและน้อมเข้ามาพิจารณาภายใน
กายของตน ให้เห็นแจ่มแจ้ง
จนเกิดนิพพิทาญาณเบื่อหน่ายสังเวช
สลดใจ ยังน้ำใจให้ตั้งมั่นเป็นมาธิ
มีกำลังยิ่งขึ้น เรียกว่า ปฏิภาคนิมิตฯ
ทีเดียวและน้อมเข้ามาพิจารณาภายใน
กายของตน ให้เห็นแจ่มแจ้ง
จนเกิดนิพพิทาญาณเบื่อหน่ายสังเวช
สลดใจ ยังน้ำใจให้ตั้งมั่นเป็นมาธิ
มีกำลังยิ่งขึ้น เรียกว่า ปฏิภาคนิมิตฯ
๘.วิธีเดินจงกรม
พึงตั้งกำหนดหนทางสั้นยาว
แล้วแต่ต้องการ ยืนที่ต้นทาง
ยกมือประนม ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า
พระธรรม พระสงฆ์ แล้วตั้งความสัตย์
อธิษฐานว่า
แล้วแต่ต้องการ ยืนที่ต้นทาง
ยกมือประนม ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า
พระธรรม พระสงฆ์ แล้วตั้งความสัตย์
อธิษฐานว่า
ข้าพเจ้าจะตั้งใจปฏิบัติ เพื่อเป็นปฏิบัติบูชา
คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
กับทั้งพระธรรมและพระอริยสงฆ์สาวก
ขอให้น้ำใจของข้าพเจ้า สงบระงับตั้งมั่น
เป็นสมาธิ มีปัญญาเฉลียวฉลาด
รู้แจ้งแทงตลอดในคำสั่งสอนของ
พระพุทธเจ้าทุกประการเทอญ
คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
กับทั้งพระธรรมและพระอริยสงฆ์สาวก
ขอให้น้ำใจของข้าพเจ้า สงบระงับตั้งมั่น
เป็นสมาธิ มีปัญญาเฉลียวฉลาด
รู้แจ้งแทงตลอดในคำสั่งสอนของ
พระพุทธเจ้าทุกประการเทอญ
แล้ววางมือลง เอามือขวาจับมือซ้ายไว้ข้างหนึ่ง
เจริญพรหมวิหาร ๔ ทอดตาลงเบื้องต่ำ
ตั้งสติกำหนดจิต นึกคำบริกรรม
เดินกลับไปกลับมาจนกว่าจิตจะสงบ
รวมลงเป็นองค์สมาธิ
เจริญพรหมวิหาร ๔ ทอดตาลงเบื้องต่ำ
ตั้งสติกำหนดจิต นึกคำบริกรรม
เดินกลับไปกลับมาจนกว่าจิตจะสงบ
รวมลงเป็นองค์สมาธิ
ในขณะที่จิตกำลังรวมอยู่นั้น
จะหยุดยืนกำหนดจิตให้รวมสนิท
เป็นสมาธิก่อน จึงเดินต่อไปอีกก็ได้
ในวิธีเดินจงกรมนี้กำหนดจิตอย่างเดียว
กันกับนั่งสมาธิแปลกแต่ใช้อิริยาบถเดินเท่านั้นฯ
จะหยุดยืนกำหนดจิตให้รวมสนิท
เป็นสมาธิก่อน จึงเดินต่อไปอีกก็ได้
ในวิธีเดินจงกรมนี้กำหนดจิตอย่างเดียว
กันกับนั่งสมาธิแปลกแต่ใช้อิริยาบถเดินเท่านั้นฯ
เพราะฉะนั้นท่านผู้ฝึกหัดใหม่ทั้งหลาย
พึงเข้าใจเถิดว่า
พึงเข้าใจเถิดว่า
การทำความเพียร คือ ฝึกหัดจิตในสมาธิวิธีนี้มีวิธีที่จะต้องฝึกหัด
ในอิริยาบถทั้ง ๔ จึงต้องนั่งสมาธิบ้าง
เดินจงกรมบ้าง ยืนกำหนดจิตบ้าง
นอนสีหไสยาสน์บ้าง เพื่อให้ชำนาญ
คล่องแคล่วและเปลี่ยนอิริยาบถให้สม่ำเสมอฯ
ในอิริยาบถทั้ง ๔ จึงต้องนั่งสมาธิบ้าง
เดินจงกรมบ้าง ยืนกำหนดจิตบ้าง
นอนสีหไสยาสน์บ้าง เพื่อให้ชำนาญ
คล่องแคล่วและเปลี่ยนอิริยาบถให้สม่ำเสมอฯ
๙.วิธีแก้นิมิต
มีวิธีที่จะแก้นิมิตได้เป็น ๓ อย่างคือ
วิธีที่ ๑ ทำความนิ่งเฉย
คือ พึงตั้งสติกำหนดจิตนั้นไว้ให้มั่นคง
ทำความสงบนิ่งแน่วเฉยอยู่ในสมาธิ
แม้มีนิมิตอะไรๆ มาปรากฏ
หรือรู้เห็นเป็นจริงในจิตอย่างไร
ไม่ต้องหวั่นไหวไป ตาม คือ
ไม่ต้องส่งจิตคิดไป จะเป็นความคิดผิด
ที่เรียกว่า จิตวิปลาส แปลว่า ความคิด
เคลื่อนคลาด แปลกประหลาดจาก
ความจริง นิ่งอยู่ในสมาธิไม่ได้
ให้บังเกิดเป็นสัญญา ความสำคัญผิด
ที่เรียกว่า สัญญาวิปลาส แปลว่า หมายมั่น
ไปตามนิมิต เคลื่อนคลาดจากจิตผู้เป็นจริง
ทั้งนั้น จนบังเกิดถือทิฎฐิมานะขึ้นที่เรียก
ว่า ทิฎฐิวิปลาส แปลว่า ความเห็นเคลื่อน
คลาดจากความเป็นจริง
คือเห็นไปหน้าเดียว ไม่แลเหลียวดูให้รู้เท่า
ส่วนในส่วนนอก ชื่อว่าไม่รอบคอบ
เป็นจิตลำเอียง ไม่เที่ยงตรง
ทำความสงบนิ่งแน่วเฉยอยู่ในสมาธิ
แม้มีนิมิตอะไรๆ มาปรากฏ
หรือรู้เห็นเป็นจริงในจิตอย่างไร
ไม่ต้องหวั่นไหวไป ตาม คือ
ไม่ต้องส่งจิตคิดไป จะเป็นความคิดผิด
ที่เรียกว่า จิตวิปลาส แปลว่า ความคิด
เคลื่อนคลาด แปลกประหลาดจาก
ความจริง นิ่งอยู่ในสมาธิไม่ได้
ให้บังเกิดเป็นสัญญา ความสำคัญผิด
ที่เรียกว่า สัญญาวิปลาส แปลว่า หมายมั่น
ไปตามนิมิต เคลื่อนคลาดจากจิตผู้เป็นจริง
ทั้งนั้น จนบังเกิดถือทิฎฐิมานะขึ้นที่เรียก
ว่า ทิฎฐิวิปลาส แปลว่า ความเห็นเคลื่อน
คลาดจากความเป็นจริง
คือเห็นไปหน้าเดียว ไม่แลเหลียวดูให้รู้เท่า
ส่วนในส่วนนอก ชื่อว่าไม่รอบคอบ
เป็นจิตลำเอียง ไม่เที่ยงตรง
เมื่อรู้เช่นนี้จึงไม่ควรส่งจิตไปตาม
เมื่อไม่ส่งจิตไปตามนิมิตเช่นนั้นแล้ว
ก็ให้คอยระวัง ไม่ให้จิตเป็นตัณหาเกิดขึ้น
คือไม่ให้จิตดิ้นรนยินดี อยากเห็นนิมิตนั้น
แจ่มแจ้งยิ่งขึ้นก็ดี
เมื่อไม่ส่งจิตไปตามนิมิตเช่นนั้นแล้ว
ก็ให้คอยระวัง ไม่ให้จิตเป็นตัณหาเกิดขึ้น
คือไม่ให้จิตดิ้นรนยินดี อยากเห็นนิมิตนั้น
แจ่มแจ้งยิ่งขึ้นก็ดี
หรือยินร้ายอยากให้นิมิตนั้นหายไปก็ดี
หรือแม้ไม่อยากพบ ไม่อยากเห็น
ซึ่งนิมิตที่น่ากลัวก็ดี ทั้ง ๓ อย่างนี้
เรียกว่า ตัณหา ถ้าเกิดมีในจิต
แต่อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว
ก็ให้รีบระงับดับเสีย คือถอนความอยาก
และความไม่อยากนั้นออกเสีย
หรือแม้ไม่อยากพบ ไม่อยากเห็น
ซึ่งนิมิตที่น่ากลัวก็ดี ทั้ง ๓ อย่างนี้
เรียกว่า ตัณหา ถ้าเกิดมีในจิต
แต่อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว
ก็ให้รีบระงับดับเสีย คือถอนความอยาก
และความไม่อยากนั้นออกเสีย
เมื่อ นิมิตมีมา ก็อย่ายินดี
เมื่อนิมิตหายไป ก็อย่ายินร้าย
หรือเมื่อนิมิตที่น่ากลัวมีมา
ก็อย่าทำความกลัว
และอย่าทำความคดโกง
อยากให้หายไปก็ไม่ว่า
ไม่อยากให้หายไปก็ไม่ว่า
อยากเห็นก็ไม่ว่า ไม่อยากเห็นก็ไม่ว่า
ให้เป็น สันทิฏฐิโก คือเห็นเอง
อยากรู้ก็ไม่ว่า ไม่อยากรู้ก็ไม่ว่า
ให้เป็นปัจจัตตัง รู้จำเพาะกับจิต
ตั้งจิตไว้เป็นกลางๆ
แล้วพึงทำความรู้เท่าอยู่ว่า
อันนี้เป็นส่วนจิต อันนั้นเป็นส่วนนิมิต
แยกส่วนแบ่งส่วน ตั้งไว้เป็นคนละอัน
รักษาเอาแต่จิต กำหนดให้ตั้งอยู่
เป็นฐีติธรรมเที่ยงแน่ว
เมื่อนิมิตหายไป ก็อย่ายินร้าย
หรือเมื่อนิมิตที่น่ากลัวมีมา
ก็อย่าทำความกลัว
และอย่าทำความคดโกง
อยากให้หายไปก็ไม่ว่า
ไม่อยากให้หายไปก็ไม่ว่า
อยากเห็นก็ไม่ว่า ไม่อยากเห็นก็ไม่ว่า
ให้เป็น สันทิฏฐิโก คือเห็นเอง
อยากรู้ก็ไม่ว่า ไม่อยากรู้ก็ไม่ว่า
ให้เป็นปัจจัตตัง รู้จำเพาะกับจิต
ตั้งจิตไว้เป็นกลางๆ
แล้วพึงทำความรู้เท่าอยู่ว่า
อันนี้เป็นส่วนจิต อันนั้นเป็นส่วนนิมิต
แยกส่วนแบ่งส่วน ตั้งไว้เป็นคนละอัน
รักษาเอาแต่จิต กำหนดให้ตั้งอยู่
เป็นฐีติธรรมเที่ยงแน่ว
ทำความรู้เท่าจิตและนิมิตทั้งสองเงื่อน
รักษาไม่ให้ สติเคลื่อนคลาดจากจิต
ทั้งไม่ให้เผลอสติได้เป็นดี สติมา
ชื่อว่าเป็นผู้มีสติ วิเนยฺย โลเก
อภิชฺฌาโทมนสฺสํ ถอนอภิชฌา
และโทมนัสในโลกเสียได้แล้ว
ก็เป็นผู้ตั้งอยู่ในวินัย
เมื่อประกอบข้อปฏิบัติอันนี้อยู่อย่างนี้
สติก็ตั้งมั่น จิตก็ตั้งมั่นประชุมกัน
เป็นสมาธิดังนี้ เรียกว่า ญาตปริญญา
แปลว่า รู้เท่าอารมณ์ฯ
รักษาไม่ให้ สติเคลื่อนคลาดจากจิต
ทั้งไม่ให้เผลอสติได้เป็นดี สติมา
ชื่อว่าเป็นผู้มีสติ วิเนยฺย โลเก
อภิชฺฌาโทมนสฺสํ ถอนอภิชฌา
และโทมนัสในโลกเสียได้แล้ว
ก็เป็นผู้ตั้งอยู่ในวินัย
เมื่อประกอบข้อปฏิบัติอันนี้อยู่อย่างนี้
สติก็ตั้งมั่น จิตก็ตั้งมั่นประชุมกัน
เป็นสมาธิดังนี้ เรียกว่า ญาตปริญญา
แปลว่า รู้เท่าอารมณ์ฯ
วิธีที่ ๒ ตรวจค้นปฏิภาคนิมิต
คือ เมื่อเห็นว่าจิตมีกำลังประชุมกัน
อยู่เป็นปึกแผ่นแน่นหนาดีแล้ว
พึงฝึกหัดปฏิภาคนิมิตให้ชำนาญ คือ
เมื่อเห็นรูปนิมิตมาปรากฏในตา ในจิต
เห็นเป็นรูปคน เด็กเล็ก หญิงชาย
หนุ่มน้อย บ่าวสาว หรือแก่เฒ่าชรา
ประการใดประการหนึ่งก็ตาม
แสดงอาการแลบลิ้นปลิ้นตา
หน้าบิดตาเบือน อาการใดอาการหนึ่ง
ก็ตาม ให้รีบพลิกจิตเข้ามา กลับตั้งสติ
ผูกปัญหาหรือทำในใจก็ได้ว่า
รูปนี้เที่ยงหรือไม่เที่ยง
จะแก่เฒ่าชราต่อไปหรือไม่
เมื่อนึกในใจกระนี้แล้วถึงหยุด
และวางคำที่นึกนั้นเสีย
กำหนดจิตพิจารณา นิ่งเฉยอยู่
จนกว่าจะตกลง และแลเห็นในใจว่า
เฒ่าแก่ชราได้เป็นแท้
อยู่เป็นปึกแผ่นแน่นหนาดีแล้ว
พึงฝึกหัดปฏิภาคนิมิตให้ชำนาญ คือ
เมื่อเห็นรูปนิมิตมาปรากฏในตา ในจิต
เห็นเป็นรูปคน เด็กเล็ก หญิงชาย
หนุ่มน้อย บ่าวสาว หรือแก่เฒ่าชรา
ประการใดประการหนึ่งก็ตาม
แสดงอาการแลบลิ้นปลิ้นตา
หน้าบิดตาเบือน อาการใดอาการหนึ่ง
ก็ตาม ให้รีบพลิกจิตเข้ามา กลับตั้งสติ
ผูกปัญหาหรือทำในใจก็ได้ว่า
รูปนี้เที่ยงหรือไม่เที่ยง
จะแก่เฒ่าชราต่อไปหรือไม่
เมื่อนึกในใจกระนี้แล้วถึงหยุด
และวางคำที่นึกนั้นเสีย
กำหนดจิตพิจารณา นิ่งเฉยอยู่
จนกว่าจะตกลง และแลเห็นในใจว่า
เฒ่าแก่ชราได้เป็นแท้
จึงรีบพิจารณาให้เห็นแก่เฒ่าชรา
หลังขดหลังโข สั่นทดๆ
ไปในขณะปัจจุบันทันใจนั้น
แล้วผูกปัญหาถามดูทีว่า“ตายเป็นไหมเล่า”
หลังขดหลังโข สั่นทดๆ
ไปในขณะปัจจุบันทันใจนั้น
แล้วผูกปัญหาถามดูทีว่า“ตายเป็นไหมเล่า”
หยุดนิ่งพิจารณาอยู่อีก
จนกว่าจะตกลงเห็นในใจได้ว่า
ตายแน่ตายแท้ไม่แปรผัน
จึงรีบพิจารณาให้เห็นตายลงไปอีกเล่า
ในขณะปัจจุบันทันใจนั้น“เมื่อตายแล้ว
จะเปื่อยเน่าตายทำลายไปหรือไม่”
หยุดนิ่งพิจารณาเฉยอยู่อีก
“จนกว่าจิตของเราจะตกลงเห็นว่า
เปื่อยเน่าแตกทำลายไปหรือไม่”
จนกว่าจะตกลงเห็นในใจได้ว่า
ตายแน่ตายแท้ไม่แปรผัน
จึงรีบพิจารณาให้เห็นตายลงไปอีกเล่า
ในขณะปัจจุบันทันใจนั้น“เมื่อตายแล้ว
จะเปื่อยเน่าตายทำลายไปหรือไม่”
หยุดนิ่งพิจารณาเฉยอยู่อีก
“จนกว่าจิตของเราจะตกลงเห็นว่า
เปื่อยเน่าแตกทำลายไปหรือไม่”
หยุดนิ่งพิจารณา เฉยอยู่อีก
จนกว่าจิตของเราจะตกลงเห็นว่า
เปื่อยเน่าแตกทำลายไปได้แท้แน่ในใจ
ฉะนี้แล้ว ก็ให้รีบพิจารณาให้เห็น เปื่อยเน่า
แตกทำลาย จนละลายหายสูญลงไป
เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ
ไปตามธรรมดา ธรรมธาตุ ธรรมฐีติ
ธรรมนิยามะ
จนกว่าจิตของเราจะตกลงเห็นว่า
เปื่อยเน่าแตกทำลายไปได้แท้แน่ในใจ
ฉะนี้แล้ว ก็ให้รีบพิจารณาให้เห็น เปื่อยเน่า
แตกทำลาย จนละลายหายสูญลงไป
เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ
ไปตามธรรมดา ธรรมธาตุ ธรรมฐีติ
ธรรมนิยามะ
แล้วพลิกเอาจิต ของเรา
กลับทวนเข้ามาพิจารณากายในกาย
ของเราเอง ให้เห็นลงไปได้อย่างเดียวกัน
จนกว่าจะตกลง และตัดสินใจได้ว่า
ร่างกายของเรานี้ ก็แก่เฒ่าชรา
ทุพพลภาพแตกตาย ทำลาย เปื่อยเน่า
ไปเป็นเหมือนกัน แล้วรีบตั้งสติพิจารณา
เห็นเป็นแก่เฒ่าชราดูทันที และ
พิจารณาให้เห็น ตายลงไปในขณะปัจจุบัน
แยกส่วนแบ่งส่วนออกดูให้เห็นแจ้งว่า
หนังเป็นอย่างไร เนื้อเป็นอย่างไร
กระดูกเป็นอย่างไร ตับไตไส้พุง
เครื่องในเป็นอย่างไร เป็นของงาม
หรือไม่งาม ตรวจดูให้ดี
พิจารณาให้ละเอียด
กลับทวนเข้ามาพิจารณากายในกาย
ของเราเอง ให้เห็นลงไปได้อย่างเดียวกัน
จนกว่าจะตกลง และตัดสินใจได้ว่า
ร่างกายของเรานี้ ก็แก่เฒ่าชรา
ทุพพลภาพแตกตาย ทำลาย เปื่อยเน่า
ไปเป็นเหมือนกัน แล้วรีบตั้งสติพิจารณา
เห็นเป็นแก่เฒ่าชราดูทันที และ
พิจารณาให้เห็น ตายลงไปในขณะปัจจุบัน
แยกส่วนแบ่งส่วนออกดูให้เห็นแจ้งว่า
หนังเป็นอย่างไร เนื้อเป็นอย่างไร
กระดูกเป็นอย่างไร ตับไตไส้พุง
เครื่องในเป็นอย่างไร เป็นของงาม
หรือไม่งาม ตรวจดูให้ดี
พิจารณาให้ละเอียด
จนกว่าจะถอนความยินดียินร้ายเสียได้
แล้วพิจารณาให้เห็นเปื่อยเน่าผุพังลง
ถมแผ่นดินไป ภายหลังกลับพิจารณา
ให้เห็นเป็นคืนมาอีกแล้วฝึกหัดทำอยู่
อย่างนี้จนกว่าจะชำนาญ
แล้วพิจารณาให้เห็นเปื่อยเน่าผุพังลง
ถมแผ่นดินไป ภายหลังกลับพิจารณา
ให้เห็นเป็นคืนมาอีกแล้วฝึกหัดทำอยู่
อย่างนี้จนกว่าจะชำนาญ
หรือยิ่งเป็นผู้มีสติได้พิจารณาให้เนื้อ
หนัง เส้น เอ็น และเครื่องในทั้งหลาย
มีตับ ไต ไส้ พุง เป็นต้น
เปื่อยเน่าผุพังลงไปหมดแล้ว
ยังเหลือแต่ร่างกระดูกเปล่า
จึงกำหนดเอาร่างกระดูกนั้นเป็นอารมณ์
ทำไว้ในใจใคร่ครวญให้เห็นแจ้งอยู่เป็นนิจ
จนกว่าจะนับได้ทุกกระดูกก็ยิ่งดี
หนัง เส้น เอ็น และเครื่องในทั้งหลาย
มีตับ ไต ไส้ พุง เป็นต้น
เปื่อยเน่าผุพังลงไปหมดแล้ว
ยังเหลือแต่ร่างกระดูกเปล่า
จึงกำหนดเอาร่างกระดูกนั้นเป็นอารมณ์
ทำไว้ในใจใคร่ครวญให้เห็นแจ้งอยู่เป็นนิจ
จนกว่าจะนับได้ทุกกระดูกก็ยิ่งดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น