๕.สวรรค์ชั้นนิมมานรดี

สวรรค์ชั้นที่ ๕

นิมมานรดีเทวภูมิ

เทวภูมิอันดับที่ ๕ นี้ เป็นแดนสวรรค์ซึ่งเป็นที่สถิตอยู่แห่งปวงเทพเจ้าชาวฟ้าทั้งหลาย ผู้มีความยินดีเพลิดเพลินในกามคุณารมณ์ ที่เนรมิตขึ้นตามความพอใจแห่งตนเอง โดยมีเทพเจ้ามเหศักดิ์ทรงนามว่า สมเด็จท่านท้าวสุนิมมิตเทวาธิราช ทรงเป็นอธิบดีผู้ปกครอง เพราะฉะนั้น สรวงสวรรค์ชั้นนี้ จึงมีนามว่านิมมานรดีภูมิ ภูมิเป็นที่อยู่แห่งทวยเทพ อันมีท่านท้าวนิมมิตเทวาธิราชทรงเป็นอธิบดี

แดนสวรรค์เมืองฟ้า อันมีนามว่านิมมานรดีภูมินี้ เป็นเทพนครที่ตั้งอยู่เหนือสวรรค์ชั้นดุสิตขึ้นไปในเบื้องบนไกลแสนไกล ภายในเทพนครแห่งนี้ ปรากฏว่ามีปราสาทเงินปราสาททอง และปราสาทแก้ว และมีกำแพงแก้วกำแพงทองอันเป็นทิพย์ เป็นวิมานที่อยู่ของเหล่าเทวดาทั้งหลาย

นอกจากนั้นไซร้ พื้นภูมิภาคยังมีสภาวะเป็นทองราบเรียบเสมอกันมีสระโบกขรณี และสวนอุทยานอันเป็นทิพย์ สำหรับเป็นที่เที่ยวเล่นสำราญ แห่งเหล่าชาวสวรรค์นิมมานรดีทั้งหลาย เช่นเดียวกับสมบัติทิพย์ในสรวงสวรรค์ชั้นดุสิตทุกประการ จะต่างกันก็เพียงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในนิมมานรดีเทวพิภพนี้ มีสภาวะสวยสดงดงามและประณีตกว่า ทิพยสมบัติในดุสิตเทวพิภพเท่านั้น

เทพยดาทั้งหลาย ผู้สถิตเสวยทิพยสมบัติอยู่ ณ นิมมานรดีแดนสุขาวดีนี้ ย่อมมีรูปทรงสวยงาม น่าดูน่าชม ยิ่งกว่าชาวสวรรค์ชั้นที่ต่ำกว่าทั้งหลาย และมีกายทิพย์ซึ่งมีรัศมีรุ่งเรืองเป็นยิ่งนัก หากเขามีความปรารถนา จะเสวยสุขด้วยกามคุณารมณ์สิ่งใด เข่าย่อมเนรมิตเอาได้ตามความพอใจชอบใจแห่งตนทุกสิ่งทุกประการ ไม่มีความขัดข้องและเดือดเนื้อร้อนใจในกรณีใด ๆ เลย

พวกเขาพากันเสวยทิพยสมบัติในสรวงสวรรค์ชั้นนิมมานรดีนี้โดยมี่สมเด็จท่านท้าวสุนิมมิตเทวาธิราชเจ้าปกครอง ให้มีความปรองดองรักใคร่กันและได้รับความสุขสำราญ ชื่นบานทุกถ้วนหน้า เหล่าชาวฟ้านิมมานรดี มีชีวิตความเป็นอยู่สุดดีสุดประเสริฐนักหนา

 
ทางไปสวรรค์ชั้นนิมมานรดี

หากจะมีปัญหาว่า
การที่จักได้มีโอกาส ไปอุบัติเกิดเป็นเทพเจ้า เสวยทิพยสมบัติเป็นสุขอยู่ ณ แดนสวรรค์ชั้นนิมมานรดีนี้นั้น จักต้องทำประการใดบ้าง
คำวิสัชนาก็มีว่า

ต้องอุตส่าห์ก่อสร้างกองบุญกุศลให้ยิ่งใหญ่ อบรมจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่ให้สกปรกลามกมีมลทิน โดยพยายามรักษาศีลไม่ให้ขาดได้ มีใจสมบูรณ์ด้วยศีล และมีวิริยะอุตสาหะในการบริจาคทานเป็นอันมาก เพราะผลวิบากแห่งทานและศีลอันสูงเท่านั้น จึงจะบันดาลให้ไปอุบัติเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ได้ ในกรณีนี้ พึงทราบพระบาลีชี้ทางไปสู่แดนสวรรค์ชั้นนิมมานรดี ซึ่งปรากฏมีไว้ในพระสูตรต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

 
ทานสูตร

ดูกรสารีบุตร ! ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า

"เราหุงหากินได้ แต่สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหลายไม่ได้หุงหากิน เราหุงหากินได้จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้ไม่หุงหากิน ย่อมเป็นการไม่สมควร"

แต่ให้ทานด้วยคิดว่า
"เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เช่นเดียวกับฤๅษีทั้งหลาย คือ
ฤๅษีอัฏฐก
ฤๅษีวามก
ฤๅษีวามเทว
ฤๅษีเวสสามิตร
ฤๅษียมทัคค
ฤๅษีอังคีรส
ฤๅษีภารทวาช
ฤๅษีวาเสฎฐ
ฤๅษีกัสสป
ฤๅษีภคุ
แต่กาลก่อน ซึ่งได้พากันบูชามหายัญฉะนั้น"

เขาผู้นั้น ให้ทานด้วยอาการอย่างนี้แล้ว เมื่อทำกาลกิริยาตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาทั้งหลาย ในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี

 
ปุญญกิริยาวัตถุสูตร

ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย ! บุคคลบางคนในโลกนี้ กระทำบุญริริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานมีประมาณยิ่ง กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลมีประมาณยิ่ง ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย เมื่อถึงแก่กาลกิริยาตายไปแล้ว เขาย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นนิมมานรดี

ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย ! ท้าวสุนิมมิตเทพบุตร จอมเทพในชั้นนิมมานรดีนั้น ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานเป็นอดิเรก ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลเป็นอดิเรก ท้าวเธอจึงทรงเจริญรุ่งเรืองก้าวล่วงเหล่าเทวดาชั้นนิมมานรดีสวรรค์ โดยฐานะ ๑๐ ประการ คือ
๑. อายุทิพย์
๒. วรรณทิพย์
๓. สุขทิพย์
๔. ยศทิพย์
๕. อธิปไตยทิพย์
๖. รูปทิพย์
๗. เสียงทิพย์
๘. กลิ่นทิพย์
๙. รสทิพย์
๑๐. โผฏฐัพพะทิพย์

 
สังคีติสูตร

บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมถวายข้าวน้ำ ผ้าผ่อน ยวดยาน ดอกไม้ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่นั่ง ที่พัก ที่อาศัย และสิ่งที่เป็นอุปกรณ์แก่ประทีป ให้เป็นทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ เขาย่อมมุ่งหวังสิ่งที่ตนให้ไปโดยเขาได้ศึกษามาว่า "พวกเทพเจ้าเหล่านิมมานรดีสวรรค์เป็นเทพที่มีอายุยืน มีวรรณะงาม มากไปด้วยความสุข" ดังนี้แล้ว เขาจึงจินตนาอย่างนี้ว่า
โอหนอ ! เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งพวกเทพเจ้าเหล่านิมมานรดีสวรรค์เถิด

เขาตั้งจิตนั้นไว้ อธิษฐานจิตนั้นไว้ อบรมจิตนั้นไว้ จิตของเขานั้นน้อมไปในสิ่งที่ต่ำ มิได้อบรมเพื่อคุณเบื้องสูง อย่างนี้แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ชั้นนิมมานรดีนี้ ก็ข้อนี้แล เรากล่าวสำหรับบุคคลผู้มีศีล ไม่ใช่สำหรับบุคคลผู้ทุศีล ผู้มีอายุทั้งหลาย ความตั้งใจของบุคคลผู้มีศีลย่อมสำเร็จลงได้ เพราะเป็นของบริสุทธิ์

ใจความที่นำเอามาตั้งไว้นี้ ย่อมจักเป็นเครื่องชี้ให้เห็นอย่างแจ้งชัดว่าการที่จักได้มีโอกาสไปอุบัติเกิดเป็นเทพยดา ณ แดนสวรรค์ชั้นนิมมานรดีนี้จักต้องมีปฏิปทาเป็นประการใด ลำดับต่อไปนี้ จักขอนำเอาชีวประวัติของมนุษย์ผู้ซึ่งตายแล้วไปผุดเกิดเป็นเทพยดา ในสวรรค์ชั้นนิมมานรดีเทวโลกมาเล่าให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ได้สดับตรับฟังดังนี้

 
เทพนารีชั้นนิมมานรดี

ได้สดับมาว่า  สมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ พระเวฬุวนารามใกล้กรุงราชคฤห์มหานครนั้น กาลครั้งหนึ่ง เกิดข้าวยากหมากแพง ประชาชนพลเมืองทั้งหลายได้รับความลำบากในการครองชีพอย่างแสนสาหัส มิหนำซ้ำ อหิวาตกโรค ก็บังเกิดคุกคามขึ้นมาอีก ทำให้คนทั้งหลายได้รับความอดอยาก และเสียชีวิตลงด้วยโรคห่าลงเมืองเป็นอันมาก

สตรีภาพผู้ยากจนคนหนึ่ง ซึ่งได้ประสบกับภาวะการณ์อันแสนลำเค็ญในครั้งนี้ เมื่อสามีและบุตรพร้อมกับญาติพี่น้องสิ้นใจตายไปหมดแล้ว ก็เสียประสาทไม่อาจที่จะอยู่ในบ้านแต่เพียงลำพังตนคนเดียวได้จึงตัดสินใจทิ้งเหย้าเรือนข้าวของทรัพย์สมบัติ เพราะความกลัวตายจึงทำลายแหกฝาเรือน แล้วหนีเตลิดเปิดเปิงไปด้วยความเสียขวัญ สิ้นเนื้อประดาตัวกลายเป็นคนอนาถาหาที่พึ่งมิได้ แต่ท่องเที่ยวเรื่อยไปด้วยความหิวโดยทนทุกข์ทรมาน จนลุถึงบ้านแห่งหนึ่ง จึงเข้าไปขออาศัยอยู่

ผู้คนในหมู่บ้านนั้น แม้จะค่อนข้างขัดสนเพราะถูกความเดือดร้อนเข้าครอบงำในครั้งนี้เหมือนกัน แต่ถึงกระนั้น ก็มีใจเมตตากรุณา จึงพากันแบ่งปันข้าวสวยข้าวยาคู และน้ำผักดองอันเหลืออยู่ในหม้อให้แก่นางผู้อนาถานั้นตามประสายาก

ก็ในกาลนั้น องค์อรหันต์พระมหากัสสปเถรเจ้า เข้าสู่นิโรธสมาบัติถึง ๗ วันแล้ว จึงออกจากสมาบัติ พลางพิจารณาดู ตามวิสัยแห่งพระอรหันต์ผู้ทรงญาณว่า  "อาตมะจะสงเคราะห์รับอาหารของบุคคลใด จะเปลื้องทุกข์เปลื้องยากของบุคคลใดในวันนี้"

เมื่อสาวกแห่งองค์พระชินสีห์พิจารณาไป ก็ได้เห็นซึ่งหญิงอนาถานั้นเข้าไปข้องอยู่ในข่ายแห่งญาณ โดยทราบว่า นางใกล้จะถึงแก่กาลมรณะแล้ว เป็นผู้สมควรจักได้รับการสงเคราะห์ ได้ให้รับซึ่งเทวสมบัติในสรวงสวรรค์แดนสุขาวดี

เมื่อดำริจิตคิดตกลงดังนี้ พระมหากัสสปะขีณสพเจ้า จึงจัดแจงนุ่งสบงทรงจีวรมีกรถือบาตรแล้วเดินทางบ่ายหน้าไปสู่ที่อยู่แห่งสตรีภาพผู้อนาถานั้น

ก็อันว่า พระมหาขีณาสพผู้ออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ ๆ ย่อมทรงไว้ซึ่งคุณพิเศษเป็นนัก หนา ผู้ใดได้ถวายทานก่อนเป็นครั้งแรกแล้ว ย่อมจักได้รับอานิสงส์เห็นผลทันตาเป็นอเนกประการ ฉะนั้น ในกาลที่ยังมีท่านผู้สามารถเช้านิโรธสมาบัติได้ ย่อมมีผู้ต้องการถวายทานเป็นครั้งแรกแก่ท่านก่อนเป็นอันมาก

ในกรณีนี้ก็เช่นกัน คือเมื่อองค์ท้าวมัฆวานจอมเทพแห่งสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์ผู้มากไปด้วยศรัทธา ได้ทรงทราบว่าท่านพระมหากัสสปะเถรเจ้า ออกจากนิโรธสมาบัติในเช้าวันนี้แล้ว พระองค์ประสงค์จะได้รับส่วนกุศลอันผ่องแผ้วมโหฬาร จึงนำเอาข้าวทิพย์โภชนาหารมาจากไพชยนตปราสาททิพยวิมาน

ครั้นมาถึงมนุษยโลกเรานี้แล้ว ก็แปลงกายเป็นแก่ผู้ยากจนมีมือถือขันข้าว ยืนอยู่กลางทางคอยดักที่จักตักบาตรแก่พระมหาเถรเจ้า ณ สถานที่ชายป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่มีคนพลุกพล่าน

กาลครั้งนั้น องค์อรหันต์ผู้ดุ่มเดินมามุ่งหน้าจะไปโปรดหญิงอนาถาด้วยสมณกิริยาอันสำรวม เมื่อเงยพักตร์ขึ้นเห็นท่านผู้เฒ่ามีกิริยาว่ายากจน เนื้อตัวสกปรก ท่าทางงกเงิ่นออกมาจากชายป่าแสดงอาการว่าจะตักบาตร

ด้วยอำนาจแห่งอรหันตญาณวิเศษ สาวกแห่งองค์พระโลกเชษฐ์ก็ทราบได้ทันทีว่า ตาแก่จวนจะตายนั้นคือองค์สหัสนัยย์สมเด็จพระอมรินทรเทวธิราช เจ้าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ปลอมแปลงมา จึงมีเถรวาทีทักขึ้นว่า

"ขอถวายพระพร ! มหาบพิตรทรงฉลาดในการทำกุศล เหตุไฉนจึงมาทำการดังนี้ ท่านจะมาทำการปล้นชิงเอาซึ่งสมบัติแห่งคนจนหรือ"

ตาเฒ่าเมื่อฟังพระผู้เป็นเจ้าซึ่งรู้ทันอุบายตนว่าดังนี้ ก็กลับร่างเป็นท้าวโกสีย์ กราบบาทพระมหากัสสปะเถรเจ้าแล้ว ก็เหาะกลับไปยังทิพยสถานไพชยนปราสาทพิมานแห่งตนด้วยความผิดหวัง

ฝ่ายพระผู้เป็นเจ้า ก็เดินทางเรื่อยไปจนกระทั่งบรรลุถึง บ้านที่นางอนาถาอยู่ แล้วก็ยืนอยู่จำเพาะหน้า สตรีอนาถาแลเห็นพระมหาเถระ ซึ่งปรากฏมีชื่อเสียงลือชา มายืนเพื่อรับบิณฑบาตทานอยู่จำเพาะหน้าแห่งตนเช่นนั้น จึงพลันให้นึกละอายเป็นยิ่งนัก

"พระมหากัสสปเถรเจ้าผู้นี้ มีอานุภาพเป็นอันมาก มีชื่อเสียงเป็นพระเถระผู้ใหญ่ แม้ท้าวไทยพระเจ้าอยู่หัวและเสนาบดีมหาอำมาตย์ก็ให้ความเคารพบูชา แต่ว่าตัวเรานี้เป็นคนหาสิริมิได้ วัตถุไทยทานอันเป็นของตน ที่จะพึงถวายแก่พระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มีเลย มีแต่น้ำผักดองแลน้ำส้มพะอูมที่เขาให้ด้วยกรุณา ก็แปดเปื้อนไปด้วยธุลี หามีรสชาติไม่ โสโครกนัก มิบังควรจักพึงถวายแก่พระผู้เป็นเจ้าผู้มีอานุภาพมากอย่างนี้"

สตรีตกยากผู้น่าสงสาร ครั้นคิดดังนี้แล้ว จึงอัญชลีกรกล่าวอาราธนาว่า  "ขอพระผู้เป็นเจ้า จงกรุณาไปโปรดสัตว์ข้างหน้าเถิด เจ้าข้า"

พระมหากัสสปผู้มากไปด้วยกรุณา ได้ฟังสตรีผู้อนาถาร้องออกมาดังนั้นก็กระทำกิริยามิรู้มิชี้ยืนนิ่งเฉยอยู่ มหาชนซึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ ได้เห็นพระผู้เป็นเจ้าผู้มีอานุภาพมาบิณฑบาตถึงหมู่บ้านตนดังนั้น ก็พากันนำเอาโภชนาหารมา เพื่อจักใส่ลงในบาตรมากมาย แต่พระเถรเจ้าก็มิได้รับเอาของใครเลยคงยืนนิ่งเฉยอยู่

หญิงเข็ญใจผู้มีอาหารโสโครก จึงรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้ามาที่นี่เพื่อจะสงเคราะห์แก่ตนจำเพาะจะรับบิณฑบาตทานแห่งตนเท่านั้น ก็พลันบังเกิดปีติยินดีแก้กล้ายิ่งนัก จึงรีบยกน้ำผักดองนั้น ประคองตักลงในบาตรพระเถรเจ้า ด้วยมืออันสั่นเทา แล้วน้ำตาแห่งปีติก็ไหลลงอาบพักตร์อยู่พราก ๆ

พระมหาเถรเจ้า จึงแสดงกิริยาว่าจะฉันภัตตาหารในที่นั่นเอง เพื่อจักยังน้ำจิตแห่งนางคนจนให้ยินดีเป็นที่ยิ่ง มหาชนจึงช่วยกันตกแต่งอาสนะถวายพร้อมกับตั้งน้ำใช้น้ำฉัน พระมหากัสสปเถรเจ้าจึงนั่งเหนืออาสนะแล้วดื่มน้ำฉันซึ่งน้ำผักดองนั้น เสร็จแล้วจึงให้อนุโมทนาและกล่าวคำลากลับไป

ฝ่ายสตรีผู้เคราะห์ดีเคราะห์ร้ายนั้น ยังความภักดีและเลื่อมใสให้บังเกิดในพระมหาเถระแล้ว ก็มีใจผ่องแผ้วปีติโสมนัสเป็นนักหนา ครั้นเพลาราตรีเป็นปฐมยาม ล้มตัวลงนอนหลับไป ด้วยดวงใจที่ระลึกถึงบุญกุศลอันตนได้ถวายทานแก่พระมหาเถรในยามยากขณะนั้น ก็บังเกิดโรคลมร้ายขึ้นภายในกายเข้าตัดดวงฤทัย ซึ่งทำให้นางถึงแก่กาลกิริยาขาดใจตายลงในฉับพลันทันที เป็นอันปิดฉากชีวิตอันแสนจะลำเค็ญของสตรีอนาถานั้นไว้ในมนุษย์โลกเพียงเท่านี้

ด้วยเดชะแห่งกุศลที่ตนได้สร้างไว้เมื่อเช้านั้น เข้าขั้นอรหันตทาน คือท่านที่ถวายแก่พระอรัหันต์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ และที่ล้ำเลิศยิ่งขึ้นไปกว่านั้นก็คือว่า ทานนั้น เป็นอรหันตทานอันพิเศษ เพราะเป็นทานที่ถวายแก่พระอรหันต์ผู้เพิ่งออกจากนโรธสมาบัติใหม่ ๆ ซึ่งให้คุณานิสงส์สุดประมาณ

เพราะฉะนั้นเมื่อนางอนาถาสิ้นใจตายในราตรีนั้นแล้ว ก็ได้มาอุบัติเป็นเทพนารี ผู้มีฤทธิ์ มีอานุภาพมาก ณ แดนสวรรค์ชั้นนิมมานรดีนี้ มีนางอัปสรกัญญาเป็นบริวารมากมาย เสวยทิพยสมบัติอยู่ในปราสาทพิมาน แสนจะเป็นสุขนักหนา

กล่าวฝ่ายสมเด็จพระอมรินทราธิราช เจ้าจอมสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ผู้ซึ่งผิดหวัง ไม่ได้ถวายทานแก่พระมหากัสสปเถรเจ้าเมื่อเช้านี้ ครั้นทรงทราบว่า สตรีมนุษย์อนาถาผู้โชคดีกว่าตน กระทำกาลกิริยาตายแล้ว จึงทรงตรวจตราดูว่าหญิงอนาถานั้นจะเกิดในสถานที่ใด เมื่อทรงตรวจตราดูจนถี่ถ้วนแล้ว ก็มิได้เห็นในดาวดึงส์สวรรค์ ให้มีความสงสัยในพระหฤทัย

ครั้นเพลาล่วงเข้ามัชฌิมยามราตรีนั้น องค์ท้ายมัฆวานจอมเทพ จึงเข้าไปสู่สำนักแห่งท่านพระมหากัสสปสังฆวุฒาจารย์ ค่อยกราบกรานแล้วทรงมีเทพยวาทีไต่ถามว่า

"ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ! หญิงเข็ญใจไร้ญาติ มีชีวิตอยู่อย่างน่าอนาถนักผู้ซึ่งถวายน้ำผักดองแก่พระผู้เป็นเจ้าเมื่อเช้านี้นั้น บัดนี้ สตรีนั้น ตายจากอัตภาพมนุษย์แล้ว ไปเกิด ณ ที่ใด โยมนี้เที่ยวตรวยดูจนทั่วดางดึงส์สวรรค์แล้ว ก็ไม่เห็นเลย"

องค์อรหันต์ท่านมหากัสสปขีณาสพเจ้า จึงมีเถรวาทีกล่าวตอบว่า

"ขอถวายพระพร อาตมะเที่ยวไปบิณฑบาต และยืนนิ่งอยู่ที่จำเพาะหน้าหญิงกำพร้าเข็ญใจอาศัยอยู่ที่แทบหลังเรือนผู้อื่น นางมีจิตเลื่อมใส ได้ถวายซึ่งน้ำผักดองด้วยมือของตน หญิงทุคตะผู้นั้น ตายจากมนุษย์แล้ว ไปบังเกิดเป็นเทวดามีฤทธิ์มาก อยู่ในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี และบัดนี้กำลังยินดีเสวยสุขอยู่ในนิมมานรดีสวรรค์นั้น

ด้วยเหตุนี้ มหาบพิตรผู้เป็นใหญ่ จึงมิได้เห็นนางในสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์ของมหาบพิตร เรื่องเป็นอย่างนี้แล"

สมเด็จพระอมรินทราธิราชเจ้า ได้ทรงสดับคำบอกเล่าจากพระผู้เป็นเจ้าดังนั้น ก็ทรงยินดีในผลอานิสงส์แห่งบุคคลผู้ถวายน้ำผักดองเป็นนักหนา จึงมีเทพยวาทีกล่าวสรรเสริญว่า

"อโห ! ควรจะอัศจรรย์ ทานแห่งคนกำพร้าอนาถาอันได้มาด้วยยาก และได้มาจากสำนักแห่งผู้อื่น เป็นแต่เพียงน้ำผักดองอันโสโครกหารสชาติมิได้ กลับเป็นทานอันประเสริฐ ให้สัมฤทธิ์สมบัติทิพย์ในสวรรค์ชั้นสูงแดนนิมมานรดี การให้ทานแก่พระทักขิไณยบุคคลเช่นพระผู้เป็นเจ้านี้ ย่อมมีอานิสงส์ดีกว่าการกระทำอย่างอื่นอีกมากมายจริง ๆ หนอ"

ครั้นตรัสสรรเสริญอานิสงส์แห่งทานที่เทพนารีอดีตหญิงอนาถา ประดิษฐานไว้ด้วยดีในพระมหากัสสปเถรเจ้าฉะนี้แล้ว สมเด็จพระอมรินทราธิราชเจ้าก็ทรงกล่าวคำอำลากลับไปยังทิพยสถาน ณ แดนสุขาวดีไตรตรึงษ์สวรรค์แห่งตน

รวมความว่า สวรรค์ชั้นนิมมานรดีนี้ เป็นแดนสวรรค์ซึ่งเป็นที่สถิตอยู่แห่งทวยเทพทั้งหลาย อันมีสมเด็จท่านท้าวสินิมมิตเทวาธิราชทรงเป็นผู้ปกครองทวยเทพทุกผู้ ล้วนมีความเป็นอยู่มีชีวิตอย่างเป็นสุขเริงสราญจิต ประกอบไปด้วยฤทธิ์และอานุภาพ ด้วยการเสวยทิพยสมบัติสำราญอยู่ทุกทิพาราตรีกาล เพราะความบันดาลแห่งบุญกุศลที่ตนได้ก่อสร้างไว้แต่ปางบรรพ์

เพราะฉะนั้น ท่านผู้มีปัญญาประกอบไปด้วยศรัทธา มีความเชื่อมั่นในพระบวรพุทธศาสนา เมื่อมีความปรารถนาใคร่จักได้ไปอุบัติเกิดเป็นเทพยดา เสวยทิยพสมบัติเป็นสุขอยู่ในสวรรค์ชั้นนิมมานรดีนี้ ก่อนจะขาดใจตายไปจากโลกนี้ ก็ควรที่จักรีบเร่งขวนขวายบำเพ็ญกองการกุศล ทำตนให้มีศีลบริสุทธิ์ พยายามรักษาศีลไม่ให้ขาดได้ และต้องมีวิริยะอุตสาหะในการบริจาคทานเป็นอย่างมาก ประพฤติธรรมสม่ำเสมอเป็นนิตย์ เมื่อถึงคราวแตกกายทำลายขันธ์สิ้นชีวิตตายลงไป หากกองการกุศลที่ตนก่อสร้างเอาไว้มีพลังเพียงพอแล้ว ก็จักเป็นแรงส่งผลักดัน ให้ได้มีโอกาสไปอุบัติเกิดเป็นเทพยดา ณ ชั้นฟ้านิมมานรดีสวรรค์แดนสุขาวดีนี้อย่างแน่นอน
  

อายุขัยของเทวดาเทียบกับปีของมนุษย์โลก

หนึ่ง 1 ปีทิพย์ของสวรรค์แต่ละชั้น เท่ากับ 360 วันทิพย์ของสวรรค์แต่ละชั้น
ชั้นจาตุมีอายุ 500 ปีทิพย์ 1 วันทิพย์ เท่ากับ 50 ปีโลกมนุษย์ ดังนั้นเท่ากับ 500X360X50 = 9,000,000 ปี
ชั้นดาวดึงส์ " " 1000 " " 1 " " 100 " " เท่ากับ 36,000,000 ปี
ชั้นยามา " " 2000 " " 1 " " 200 " " เท่ากับ 144,000,000 ปี
ชั้นดุสิต " " 4000 " " 1 " " 400 " " เท่ากับ 576,000,000 ปี
ชั้นนิมมา " " 8000 " " 1 " " 800 " " เท่ากับ 2,304,000,000 ปี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น